26/12/54

เยื่อแก้วหูทะลุ (Rupture eardrum(Tympanic membrane perforation ))

คำจำกัดความ

การที่มีรูหรือรอยฉีกขาดที่เยื่อแก้วหู ซึ่งเป็นเยื่อบางๆ ที่กั้นระหว่างหูชั้นนอกกับหูชั้นกลาง การทะลุทำให้การได้ยินเสียงลดลงและอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่หูชั้นกลาง โดยปกติเยื่อแก้วหูจะรักษาตัวเองภายใน 2-3 สัปดาห์ แต่บางครั้งอาจจำเป็นต้องผ่าตัด
หูเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ 2 ประการ คือ
1.ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินหรือการรับฟังเสียง (Phonoreceptor)
2.ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวของร่างกาย (Statoreceptor)
ส่วนประกอบของหู แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ดังรูป คือ
1.หูชั้นนอก : คือส่วนของหูที่อยู่ด้านนอกต่อเยื่อแก้วหู ประกอบด้วย
  • ใบหู (auricle) : มีหน้าที่ในการรวบรวมคลื่นเสียงที่มาจากที่ต่างๆ ส่งเข้าสู่รูหู
  • ช่องหูชั้นนอก (external auditory canal) : เป็นส่วนที่อยู่ถัดใบหูเข้ามาจนถึงเยื่อแก้วหู ทำหน้าที่เป็นทางเดินของคลื่นเสียงเข้าสู่หูส่วนกลาง รวมทั้งในรูหูยังมีขนและต่อมสร้างขี้หู ทำหน้าที่สร้างขี้หูไว้ดักฝุ่นละออง หรือสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปในรูหู
  • เยื่อแก้วหู (Tympanic membrane หรือ ear drum) : มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ ทำหน้าที่สั่นสะเทือนเมื่อมีเสียงมากระทบและแยกคลื่นเสียงที่แตกต่างกันได้

2.หูชั้นกลาง : เป็นส่วนที่อยู่ถัดจากแก้วหูเข้ามา ภายในหูชั้นกลางประกอบด้วย
  • กระดูก 3 ชิ้น คือ กระดูกค้อน (malleus), กระดูกทั่ง (incus) และกระดูกโกลน (stapes) เรียงตามลำดับจากด้านนอกเข้าสู้ด้านใน มีหน้าที่ในการขยายการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงให้มากขึ้น แล้วส่งต่อการสั่นสะเทือนเข้าสู่หูส่วนในเพื่อแปลเป็นความรู้สึกและส่งต่อไปยังสมอง
  • มีการติดต่อกับท่อยูสเทเชียน (Eustachian tube) : มีลักษณะเป็นท่อกลวงขนาดเล็ก เชื่อมติดระหว่างคอหอยกับหูชั้นกลาง มีหน้าที่ปรับความดันภายในหู ให้ภายในหูมีความดันเท่ากับความดันภายนอก เพราะถ้าหากระดับความดันของทั้งสองแห่งไม่เท่ากัน จะมีผลทำให้รู้สึกหูอื้อ และถ้าเกิดความแตกต่างมากจะทำให้รู้สึกปวดหูได้

3.หูชั้นใน : ประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
  • ท่อขดก้นหอยหรือคอเคลีย (Cochlea) : ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน คือ รับคลื่นเสียงจากหูชั้นกลางแล้วส่งต่อทางเส้นประสาทเข้าไปแปลความหมายที่สมอง
  • เวสทิบิวล่าร์แอพพาราตัส (Vestibular apparatus) : ทำหน้าที่ช่วยในการทรงตัว

เนื่องจากเยื่อแก้วหู เป็นอวัยวะที่เป็นเยื่อบางๆ จึงง่ายต่อการฉีกขาด ทั้งจากการกระทบกระแทกต่างๆ และเกิดตามหลังการติดเชื้อ ถ้าเกิดการฉีกขาดของเยื่อแก้วหู (Tympanic membrane perforation) จะทำให้เกิดความผิดปกติในการได้ยินและอาจมีน้ำหรือเลือดไหลออกมาจากหูได้

อาการ

  1. มีการได้ยินที่ผิดปกติไป คือ ได้ยินเสียงเบาลง
  2. ถ้าเบ่ง เช่น ตอนสั่งน้ำมูก จะรู้สึกว่ามีลมออกมาจากในหู เกิดจากตอนเบ่งจะมีลมจากในจมูกผ่านออกมาทางท่อท่อยูสเทเชียน มาถึงหูชั้นกลาง จากนั้นลมจะผ่านเยื่อแก้วหูที่ทะลุออกมาด้านนอกได้
  3. ในรายที่เกิดจากการกระทบกระแทก เช่น หลังปั่นหู อาจมีเลือดไหลออกมาจากหูได้
  4. ถ้ามีการติดเชื้อในหูชั้นกลางแทรกซ้อน จะทำให้ผู้ป่วยมีน้ำหรือหนองไหลออกมาจากหู
  5. ผู้ป่วยมักไม่มีอาการปวดหู ยกเว้นเกิดตามหลังการกระทบกระแทกอย่างเฉียบพลัน

สาเหตุ

เยื่อแก้วหูฉีกขาดหรือทะลุ เกิดได้จากหลายสาเหตุ คือ
  1. จากการกระทบกระแทก (Traumatic tympanic membrane perforations) : เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เช่น การปั่นหูลึกเกินไปจนโดนเยื่อแก้วหู, เสียงประทัดที่ดังเกินไป, การมีความดันภายนอกสูงเกินไป เป็นต้น
  2. เกิดตามหลังการติดเชื้อในหูชั้นกลาง : เกิดในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในหูชั้นกลางเรื้อรังหรือรักษาไม่ดี ทำให้หนองในช่องหูชั้นกลางมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความดันในหูชั้นกลางสูงขึ้น จนดันให้เยื่อแก้วหูทะลุตามมา

การวินิจฉัย

  1. ภาวะเยื่อแก้วหูทะลุ สามารถวินิจฉัยได้ง่าย จากการตรวจร่างกายด้วยที่ตรวจหู (Otoscope) แต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีหนองหรือขี้หูในหูชั้นนอกมากจนทำให้แพทย์ไม่สามารถมองเห็นเยื่อแก้วหูได้ชัดเจน แพทย์อาจมีความจำเป็นต้องให้หยอดยาละลายขี้หูก่อน หรือใช้เครื่องมือเข้าไปดูดเอาหนองหรือขี้หูออกให้สะอาด เพื่อจะได้มองเห็นเยื่อแก้วหูได้ชัดเจน
  2. การตรวจการได้ยิน : ผู้ป่วยเยื่อแก้วหูทะลุจะมีการสูญเสียการได้ยินรุนแรงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของรูทะลุที่เยื่อแก้วหู

ภาวะแทรกซ้อน

  • สูญเสียการได้ยิน : จนกระทั่งการฉีกขาดนั้นจะถูกรักษา ขนาดและตำแหน่งของการฉีกจะส่งผลต่อระดับของการสูญเสียการได้ยิน
  • การติดเชื้อในหูชั้นกลาง : หากมีการติดเชื้อเนื่องจากการฉีกขาดไม่ได้รับการรักษาและไม่หาย การติดเชื้อจะเรื้อรังต่อไปและอาจทำให้สูญเสียการได้ยินถาวร
  • โรคหูน้ำหนวก (cholesteatoma) : คือถุงน้ำในหูชั้นกลางซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ผิวหนัง, ขี้หู, และเศษซากต่างๆ ที่ควรออกมายังหูชั้นนอกกลายเป็นขี้หู แต่ถ้ามีการฉีกขาดของเยื่อแก้วหู จะทำให้เศษซากนี้เคลื่อนเข้าไปที่หูชั้นกลางและเกิดเป็นถุงน้ำ ซึ่งจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อและทำลายกระดูกในหูชั้นกลางต่อไป

การรักษาและยา

  1. เยื่อแก้วหูทะลุจากการกระทบกระแทก (Traumatic tympanic membrane perforations) : ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสที่เยื่อแก้วหูที่ขาดจะกลับมาติดกันได้เองสูงมาก จึงมักไม่จำเป็นต้องผ่าตัดซ่อมแซม คือ จากข้อมูลพบว่าเยื่อแก้วหูที่ขาดจะกลับมาติดกันได้เองภายในเวลา 1 เดือน ได้ประมาณร้อยละ 68 ของผู้ป่วย และที่เวลา 3 เดือน พบว่าร้อยละ 94 ของผู้ป่วยมีเยื่อแก้วหูกลับมาเป็นปกติ แต่ในระหว่างนี้ผู้ป่วยต้องรักษาหูให้แห้งอยู่เสมอ ห้ามไม่ให้น้ำเข้าไปในหูข้างนั้นเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนตามมา โดยห้ามว่ายน้ำ, เวลาอาบน้ำใช้โฟมอุดในหูชั้นนอกเพื่อไม่ให้น้ำเข้า เป็นต้น
  2. เยื่อแก้วหูทะลุที่เกิดตามหลังการติดเชื้อในหูชั้นกลาง : กลุ่มนี้มักไม่สามารถหายได้เอง มักต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดเอาเยื่อมาปิดบริเวณเยื่อแก้วหูที่ทะลุ

27/11/54

เค้ก ^__^

ความหมายและประโยขน์ของเค้ก

ความหมายของเค้ก
          เค้กเป็นขนมที่มีกระบวนการทำให้สุกโดยการอบเป็นขนมที่นิยมบริโภคกันทุกกลุ่มชน เค้กมีหลายประเภทและมีคุณสมบัติต่าง ๆ กัน ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของส่วนผสมคือแป้งสาลี ผงฟู เกลือ ไขมัน น้ำตาล ไข่ นม และกลิ่นรส โดยต้องมีองค์ประกอบเป็นตัวเค้กให้มีความสมดุลย์ต่างกันไป แล้วแต่ชนิดของเค้กที่จะทำ

ประโยชน์ของเค้ก
             เค้ก เป็นขนมอบที่มีลักษณะ รูปร่าง ตามความต้องการของผู้ผลิต แต่มีส่วนประกอบของแป้งสาลี น้ำตาล ไข่ นม ไขมัน และสิ่งปรุงแต่งให้เกิดชนิดของเค้ก เช่น ผลไม้ต่าง ๆ ดังนั้นเค้กจึงเป็นขนมที่ให้ประโยชน์กับผู้บริโภค โดยได้รับสารอาหาร คือ
แป้ง น้ำตาล ให้สารอาหาร คาร์โบไฮเดรท ซึ่งเป็นสารอาหารที่ทำให้เกิดพลังงานแก่ร่างกายไข่ นม ให้สารอาหาร โปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่สร้างเซลล์เนื้อเยื่อให้กับร่างกาย เนย ไขมัน ให้สารอาหารไขมัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการหล่อลื่นและทำให้ผิวพรรณสดชื่น

            นอกจากนั้นเด็กยังสามารถนำไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันมงคลสม
รส วันเกิด ปีใหม่ และสามารถจัด รับประทานเป็นอาหาร น้ำชา กาแฟด้วย

6 เทคนิคการดูแลผิวหน้าด้วยผลไม้

ทุกวันนี้ผิวโดนทำร้ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือมลภาวะต่างๆ ถึงเวลา Back to the nature เพิ่มเติมความสดใสคืนสู่ผิวกันแล้วนะจ๊ะ สำหรับหนุ่มสาวที่อยากหน้าใสสวยเด้ง ฟังทางนี้ โบว์ มี 6 สูตรมาร์คหน้าง่ายๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส มาฝากกันโดยใช้ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบหลัก
1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม:  น้ำผึ้ง 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
  • สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
3. สูตรกระชับรูขุมขน
ส่วนผสม: กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย
น้ำมันดอกทานตะวัน
มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
  • สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
ส่วนผสม: กล้วย 1 ผล
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
  • สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา
ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ
ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น
  • เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
Tips:
  • ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
  • ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
  • ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
  • เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ

http://lady.one.in.th/

15/11/54

บทความสิ่งแวดล้อม ^^ (เขียนเองส่งอาจารย์)

บทความทางด้านสิ่งแวดล้อม
บทความเกี่ยวกับขยะ
ทุกวันนี้คนไทยกว่า 60 ล้านคน สามารถสร้างขยะได้มากถึง 14 ล้านตันต่อปี แต่ความสามารถในการจัดเก็บขยะกลับมีไม่ถึง 70 % ของขยะที่เกิดขึ้น จึงทำให้เกิดปริมาณขยะมูลฝอยตกค้างตามสถานที่ต่างๆ หรือมีการนำไปกำจัด โดยวิธีกองบนพื้นซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม คือ อากาศเสีย น้ำเสีย  แหล่งพาหนะนำโรค . เหตุรำคาญและความไม่น่าดู เป็นต้น
ขยะ มูลฝอยก็จะเป็นบรรดาสิ่งของที่ไม่ต้องการใช้แล้ว ส่วนใหญ่เป็นของแข็งจะเน่าเปื่อยได้หรือไม่ก็ตาม รวมตลอดถึงเศษอาหาร ของที่ไม่เน่าเหม็น เถ้าถ่าน . มูลฝอยจากถนน ซากสัตว์ ซากรถยนต์ . มูลฝอยจากโรงงาน เศษวัสดุก่อสร้าง . ตะกอน จากน้ำโสโครก . ขยะมูลฝอยที่ เป็นอันตราย ยกเว้น ปัสสาวะ อุจจาระ เป็นต้น
จากข้อมูลของขยะมูลฝอยข้างต้น ถ้าเราจะมาดูว่าขยะแบบไหนที่ย่อยสลายได้ยากที่สุดก็จะเป็นขยะจำพวกโฟม ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อยสลายยากมากหรืออาจไม่ย่อยสลายเลยแนวทางการจัดการขยะมูลฝอย ซึ่งแนวทางการป้องกันและควบคุมการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะที่สำคัญ คือ การลดขยะที่แหล่งกำเนิด โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะอีกด้วย หรืออาจจะเป็นการคิดก่อนทิ้ง คือขยะอาจนำมาใช้ใหม่อีกครั้งก็ได้ เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว กระดาษ โฟม ถุงพลาสติก กระป๋องเครื่องดื่ม
                ในการทิ้งขยะก็เหมือนกัน จึงควรทิ้งในที่ที่เขาจัดให้สำหรับทิ้งขยะ เพราะจะได้เป็นระเบียบเรียบร้อย และปลอดจากการคุ้ยเขี่ยของสัตว์ต่างๆเช่น สุนัขหรือแมว และในการทิ้งขยะควรมีการแยกขยะก่อนทิ้งด้วย เพื่อจะเป็นการง่ายสำหรับการเก็บขยะของเจ้าหน้าที่ และง่ายสำหรับการนำไปกำจัดอีกด้วย หากอยู่ ในเขตชุมชนที่ไม่มีเจ้าหน้าที่เก็บขยะไปกำจัด ควรกำจัดขยะโดยการฝังกลบไม่ควรเผากลางแจ้ง เพราะการกำจัดด้วยวิธีการเผาทั่วไป นอกจากจะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนแล้ว ยังก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งอีกด้วย
                ทุกวันนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในบ้านเมืองของเรา ยังคงเป็นปัญหาอยู่ซึ่งยังไม่มีหนทางที่จะแก้ไขปัญหาให้หายขาดได้ จึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือกันของประชาชน ถ้าหากทุกคนหันมาร่วมมือกันดูแลทรัพยากรต่างๆในประเทศให้อยู่อย่างสมดุล ก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมได้ บ้านเมืองก็จะน่าอยู่มากขึ้น ผู้คนก็จะมีอายุที่ยืนนานมากยิ่งขึ้น